รู้หรือไม่❓ สาเหตุหลักๆที่ปลาดุกเป็นโรคนั้น คืออะไร ❓
🙋♂️ วันนี้ทาง www.lukpramongthai.com ได้รวบรวมสาเหตุและวิธีการรับมือกับโรคปลาดุก
มาแบ่งปันให้กับพี่น้องชาวเกษตรและชาวประมงทุกท่านนะครับ
สาเหตุหลักที่ทำให้ปลาดุกเป็นโรค ซึ่งมีอยู่ 4 สาเหตุหลักๆด้วยกันดังนี้ครับผม
1. คุณภาพของน้ำ น้ำเน่าเสีย มีเศษอาหารหมักหมมอยู่มาก หรือคุณภาพน้ำไม่เหมาะสม
2. การลงปลาจำนวนมากเกินไป ทำให้ออกซิเจนไม่เพียงพอ
3. ติดเชื้อโปรโตซัว เชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส
4. ปลาขาดธาตุอาหารและอาหารไม่เพียงพอในการเลี้ยง ให้อาหารไม่ถึง
การเกิดโรคในปลาดุกมักจะแสดงอาการให้เห็นได้ชัดเจน
โดยแบ่งอาการของโรคเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
💥 1. การติดเชื้อจากแบคทีเรีย
: โรคติดเชื้อแบคทีเรีย อาการที่สังเกตได้หลักๆจะมีการตกเลือด มีบาดแผลตามตัวและครีม
ลักษณะสำคัญคือ ครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิก กกหูบวม ท้องบวมมีน้ำในช่องท่อง ปลาดุกจะกินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหาร และมีลักษณะลอยตัวในแนวตั้ง
โรคแบคทีเรียที่พบได้ ได้แก่
1.1. โรคตัวด่าง
▪ สาเหตุ
: เกิดจากแบคทีเรียท่อนยาว (แฟคซิแบคเตอร์ คอลัมนารีส) มักเกิดในช่วงคุณภาพน้ำเกิดการเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และช่วงลูกปลาอายุ 20-45 วัน
▪ อาการ / ลักษณะความผิดปกติ
: ในปลาขนาดใหญ่ ปลากินอาหารน้อยลง บางส่วนของผิวมีสีซีดหรือขาวเป็นเปื้อนชัดเจนหรือมีบาดแผลหลุมลึกตามลำตัว ปลาว่ายน้ำเชื่องช้าที่ผิวน้ำ ทยอยตายเรื่อย ๆ และจะตายมากอย่างรวดเร็วในช่วงที่คุณภาพน้ำไม่ดี ในปลาขนาดเล็ก ลูกปลาจะแสดงอาการลอยหัว กินอาหารลดลง ว่ายน้ำช้า ผิวหนังมีสีขาวเป็นปื้อนหรือ หนวดกุดตัวตั้งตรงที่ผิวน้ำและทยอยตายเป็นจำนวนมาก
▪ การป้องกันรักษา
: ลดหรืองดให้อาหาร แช่ปลาด้วยด่างทับทิม 0.5-1 กรัม/ตัน
เสริมวิตามินซี ในอาหาร 3-5 กรัม/กิโลกรัม ในช่วงอากาศเปลี่ยน
(ร่วมกับการเสริมยา ปฏิชีวนะ 3-5 กรัม/กิโลกรัม)

2.1 โรคกกหูบวม ท้องบวมน้ำ
▪ สาเหตุ
: เกิดจากแบคทีเรียท่อนสั้น (แอโรโมแนส ไฮโดรฟิลลา) เมื่ออาการแยกเชื้อจากตับหรือม้าม สามารถพบแบคทีเรียจำนวนมาก และมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น ฝนตก อากาศ เปลี่ยนโดยเฉพาะช่วงน้ำหลากหรือปลายฝนต้นหนาว ทำให้ปลาอ่อนแอ เกิดโรคง่าย อาการหรือลักษณะความผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในปลาขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ปลาที่เกิดโรคจะแสดงอาการท้องบวมน้ำ บริเวณครีบหู บวมโต หนวดกุดหรืออาจมีบาดแผลและจุดตกเลือดตามตัว เมื่อผ่าช่อง ท้องจะมีน้ำสีเหลืองทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก ตับมีสีซีด
▪ การป้องกันรักษา
: ลดหรืองดให้อาหาร
ผสมยาปฏิชีวนะ 3-5 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ติดต่อกัน 5-7 วัน
เสริมวิตามินซี ใน อาหาร 3-5 กรัม/กิโลกรัม ในช่วง อากาศเปลี่ยน
(ร่วมกับการเสริมยาปฏิชีวนะ 3-5 กรัม/กิโลกรัม)
******************************************
💥 2. อาการจากปรสิตเข้าเกาะตัวปลา
ปลาจะมีเมือกมาก มีแผลตามลำตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย จุดสีขาวตาม ลำตัว สีตามลำตัวซีดหรือเข้มผิดปกติเหงือกซีดว่ายน้ำทุรนทุราย ควง สว่านหรือไม่ตรงทิศทาง

▪ โรคจุดขาว
การรักษา
: ใช้ฟอร์มาลีน 25-50 ซีซี ต่อ น้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชม.
: ใช้ฟอร์มาลีน 150-200 ซีซี ต่อ น้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 1 ชม.
▪ โรคเห็บระฆัง
การรักษา
: ใช้ฟอร์มาลีน 25-50 ซีซี ต่อ น้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชม. โรคเห็บระฆัง
: ใช้ฟอร์มาลีน 150-200 ซีซี ต่อ น้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 1 ชม.

▪ โรคพยาธิปลิงใส
การรักษา
: ใช้ฟอร์มาลีน 25-40 ซีซี ต่อ น้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชม. โรคพยาธิปลิงใส
: ใช้ดิพเทอเรกซ์ 0.25-0.5 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชม.
******************************************
💥 3. อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม
: โรคขาดวิตามินซี อาการหรือลักษณะความผิดปกติ ตัวคดงอ คอพับ หัวกะโหลกเป็นรู กะโหลกร้าว มีแผลระหว่างคอ ปลาจะตายจำนวนมากระหว่างการจับหรือขนส่ง การป้องกันรักษา - ใช้อาหารที่เสริมวิตามินซี 3-5 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ติดต่อกัน นาน 5-7 วัน - เก็บอาหารไว้ในที่ร่ม ให้ห่างความชื้นและแสงแดด
โรคดีซ่าน
▪ อาการหรือลักษณะความผิดปกติ
: ลำตัวโดยเฉพาะส่วนท้องมีสีเหลือง ภายในช่องท้องจะมีของเหลวสีเหลืองสะสมอยู่ ไขมันสะสมภายใน ผนัง ช่องท้อง รวมทั้งลำไส้มีสีเหลือง ถุงน้ำดีมีสีเข้ม หากคุณภาพน้ำไม่ดีและอุณหภูมิของน้ำสูง ปลาจะทยอยตายเป็นจำนวนมาก
▪ สาเหตุ
: เกิดจากปลากินอาหารที่มีไขมันที่เหม็นหืน เช่น คอไก่ ไส้ไก่หรือเศษเครื่องในสัตว์ ที่เน่าหรือเก็บไว้นาน รวมทั้งอาหารสำเร็จรูปที่ชื้นหรือเก็บไว้ในที่ ๆ มีความร้อนสูง การป้องกันรักษา หลีกเลี่ยงการใช้อาหารสด ใช้อาหารสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ รักษาคุณภาพน้ำให้ดีอยู่เสมอ
******************************************
💥 4. อาการจากคุณภาพน้ำในบ่อไม่สะอาด
: ปลาจะว่ายน้ำขึ้นลงเร็วกว่าปกติ ลอยหัว เมื่อขาดออกซิเจน ครีบกร่อนเปื่อย หนวดหงิก เหงือกซีดและบวม ลำตัวซีด ไม่กินอาหาร มีแผลตามตัวเมื่อ คุณสมบัติน้ำไม่เหมาะสม เช่น น้ำเป็นกรดด่างมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุ เบื้องต้นที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อ
▪ การป้องกันการเกิดโรค
1. ไม่ปล่อยหรือเลี้ยงหนาแน่นจนเกินไป
2. รักษาคุณภาพน้ำให้ดีอยู่เสมอ
3. ให้อาหารที่มีคุณภาพและสม่ำเสมอ
4. หมั่นทำความสะอาดวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยง
5. มีบ่อพักน้ำคุณภาพดีสำหรับเปลี่ยนถ่าย
6. เน้นการจัดการสุขภาพสัตว์น้ำในช่วงวิกฤติ ที่จะโน้มนำทำให้สัตว์น้ำเกิด ความเครียด โดยเฉพาะช่วง เปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศอย่างเฉียบพลัน อากาศร้อนติดต่อกันเป็นเวลานาน ฝนตกฟ้าครึ้มติดต่อกันหลายวัน น้ำหลาก ช่วงเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ ช่วงรอยต่อระหว่างฤดู เช่น ร้อนและฝน หรือ ปลายฝนต้นหนาว
▪ วิธีการป้องกันรักษา
- เสริมวิตามินซี ในอาหารในอัตรา 3-5 กรัม/กิโลกรัม ติดต่อกัน 3-5 วัน เพื่อป้องกันหรือลดการเกิด ความเครียด
- สาดหรือแขวนถุงเกลือแกง 100-120 กิโลกรัม/ไร่
- ควรมีระยะพักบ่อหลังการเลี้ยง เพื่อให้เกิดการฟื้นฟู สภาพแวดล้อมในบ่อ
- เตรียมบ่อเลี้ยงให้ดีทุกครั้งก่อนการเลี้ยง
- หลีกเลี่ยงการเลี้ยงในช่วงวิกฤติ
- หากจำเป็นต้องเลี้ยงต้องลดความหนาแน่นลง หรือเพิ่มความเข้มข้นของ การจัดการมากขึ้น เช่น การติดเครื่องให้อากาศ และให้อากาศอย่างต่อเนื่อง ในช่วงฟ้าครึ้ม หรือฝนตกติดต่อกัน
******************************************
🛎 ในกรณีที่ต้องขนส่งปลา
- ใช้ยาเหลือง ความเข้มข้น 0.5 กรัม/น้ำ 1 ตัน เพื่อลดปริมาณ เชื้อแบคทีเรียในน้ำ
- ใส่เกลือแกง 0.5-1 กิโลกรัม/น้ำ1 ตัน เพี่อชดเชยการสูญเสียเกลือแร่ และลดความเป็นพิษจากสิ่งขับถ่าย ระหว่างการขนส่ง
- งดอาหารก่อนการขนส่งอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการขนส่ง
- ใช้อุณหภูมิต่ำหรือหลีกเลี่ยงการขนส่งช่วงอากาศร้อน
🛎 ทำอย่างไรเมื่อสัตว์น้ำเกิดโรค
- ลดหรืองดให้อาหาร
- รักษาคุณภาพน้ าให้ดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะออกซิเจนที่ละลายในน้ำ
- เมื่อคุณภาพน้ำไม่ดี เปลี่ยนถ่ายน้ำ 1/2 พร้อมการให้เกลือแกงเพื่อชดเชย การสูญเสียเกลือแร่
- ไม่ควรเคลื่อนย้ายปลาที่ป่วยออกนอกพื้นที่ ควรเผาหรือฝังปลาที่ตาย หรือทำให้สุกก่อนนำไปบริโภค
- ควรฆ่าเชื้อเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ปนเปื้อนเชื้อโรคด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น ด่างทับทิม โพวิโดนไอโอดีน
- เมื่อปลาแสดงอาการป่วย ในช่วงแรก ๆ ต้องนำไปตรวจวินิจฉัยเพื่อหา สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคทันที
- ตัวอย่างปลาป่วยที่ยังมีชีวิต จะทำให้การตรวจวินิจฉัยแม่นยำมากที่สุด
ไม่ควรนำปลาที่ตายแล้วหรือแช่แข็งแช่เย็นไปตรวจวินิจฉัยโรค
- ใช้ยาและสารเคมีรักษาโรคอย่างชาญฉลาด เท่าที่จำเป็นและมีเหตุผล
🛎 การใช้ยาและสารเคมีควรตระหนักอยู่เสมอว่า
1. ยาและสารเคมีมีราคาแพง
2. เลือกใช้ยาและสารเคมีให้ตรงกับสาเหตุ
3. ถ้าสัตว์น้ำป่วยมากแล้ว จะไม่กินอาหาร ดังนั้นการผสมยาในอาหาร จะไม่ทำให้การรักษาได้ผล
4. โรคที่มีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย ต้องผสมยาปฏิชีวนะให้ปลากิน ใน อัตรา 3-5 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 5-7 วัน เพื่อ ป้องกันการดื้อยา ซึ่งจะได้ผลก็ต่อเมื่อ “สัตว์น้ำเริ่มแสดงอาการในช่วง 1-3% แรกของจำนวนทั้งหมด”
******************************************
อ้างอิงจากเอกสารทางวิชาการ “ โรคของปลาดุก “
นายณัฐชพงศ์ เพชรฤทธิ์
นักวิชาการประมงชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดสตูล