สรุปแนวทาง สร้างรายได้จากการเลี้ยงปลาดุกบิ๊กอุย
( วิธีการเลี้ยง ตั้งแต่เพาะผสมลูกปลา-เลี้ยงปลาใหญ่ )
พร้อมวิธีการแก้ไขปัญหาที่พบเจอบ่อย
ดูสินค้าเกียวกับอุปกรณ์เลี้ยงปลา
" กระชังมุ้งไนล่อน กระชังอวน กระชังบก บ่อผ้าใบ "
บ่อทรงกลม บ่อทรงเหลี่ยม ผ้าใบกันแดด และ พลาสติกปูบ่อต่างๆ "
เว็บไซต์ : www.lukpramongthai.com
โทร : 082-563-9742 ( วัส )
ID LINE : @lukpramongthai
ปลาดุก เป็นปลาที่นิยมเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากเลี้ยงง่าย และมีอัตราการบริโภคสูง
เพียงมีพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ ก็สามารถเลี้ยงได้ เช่น เลี้ยงในบ่อดินโดยปูผ้ายาง หรือ พลาสติกปูบ่อ ป้องกันการซึม บางท่านก็จะใช้เลี้ยงในกระชังน้ำเลี้ยงปลา
โดยที่นิยมใช้งาน ก็จะเป็น มุ้งไนล่อน 16 ตา/ มุ้งถัก 4 ตา / สำหรับปลาใหญ่ ก็จะเป็นพวกกระชังอวนโปลี
หากไม่มีบ่อน้ำก็สามารถใช้กระชังบก และ บ่อผ้าใบ ในการเลี้ยงได้ ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ผู้เลี้ยงปลาดุกส่วนใหญ่นิยมใช้งาน
ปลาดุกที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย จะมีด้วยกัน 2 ชนิด
1.ปลาดุกอุย ( Clarias macrocephalus )
2.ปลาดุกด้าน ( Clarias batrachus )
ปลาดุกที่นิยมเลี้ยง คือ ปลาดุกด้าน เพราะเนื้อปลาดุกด้าน ค่อนข้างแข็งทำให้สามารถขนส่งได้ในระยะทางไกลๆ ประกอบกับปลาดุกด้านนั้น เลี้ยงง่าย โตเร็ว จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมาก
แต่สำหรับผู้บริโภคแล้วจะนิยมปลาดุกอุยกันมากกว่า เพราะให้รสชาติดี เนื้อปลานุ่ม ฟู กลิ่นดี จึงทำให้ในปัจจุบันเกษตรกรก็มีความนิยมในการเลี้ยงปลาดุกอุยมากเช่นเดียวกัน
ลักษณะนิสัยของปลาดุก
ปลาดุกชอบหากินตามหน้าดิน มีนิสัยว่องไว ไม่มีเกร็ด รูปร่างเรียวยาว มีหนวด 4 คู่ ใช้หนวดในการหาอาหาร สามารถที่จะอาศัยอยู่ใน ดิน โคลน เลน และในน้ำที่ปริมาณออกซิเจนต่ำได้นานกว่าปลาชนิดอื่น
แหล่งกำเนิดและถิ่นอาศัย
ปลาดุกเป็นปลาที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในนามที่มีออกซิเจนเพียงเล็กน้อยเช่นเดียวกับปลาช่อน ถึงแม้ว่าสภาพน้ำที่ค่อนข้างกร่อยปลาดูก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งในประเทศไทยจะพบปลาดุกได้ใน คลอง หนอง บึงต่างๆ ทั่วทุกภาค และพบแพร่กระจายทั่วไปในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา
ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย
อาหารปลาดุก
เมื่อปลาดุกฟักไข่ออกมาเป็นตัว ลูกปลาดุกจะใช้อาหารจากถุงไข่แดงซึ่งติดอยู่ด้านหน้าท้องของลูกปลา ประมาณ 1-2 วัน ถุงไข่แดงจะเริ่มหยุดตัวลง ในช่วงนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาดุกจำเป็นต้องให้อาหารเพื่อการเจริญเติบโต ซึ่งต้องมีปริมาณของโปรตีนสูง ได้แก่ ไข่แดงต้มสุก ไรแดง หรืออาหารผสม
หลังจากเราอนุบาลลูกปลาได้ขนาดพอที่จะปล่อยลงสู่บ่อเลี้ยง เราจะเปลี่ยนอาหารที่ให้ปลาดุก เช่น ปลาเป็ดสับบดละเอียดผสมกับรำ หรืออาหารผสมอัดเม็ดลอยน้ำ ปลาดุกสามารถกินอาหารได้ทั้งพืชและเนื้อสัตว์ มีนิสัยชอบหาอาหารกินในเวลากลางวันตามบริเวณพื้นก้นบ่อและจะขึ้นมากินอาหารบริเวณพื้นผิวน้ำเป็นบางขณะ
คุณค่าทางอาหารที่ปลาดุกต้องการ
และจำเป็นมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด ดังนี้
โปรตีน : ความต้องการโปรตีนของปลาดุกนั้นจะแตกต่างกันไปตามวัยและเวลาที่เพิ่มขึ้น
คาร์โบไฮเดรต : ความต้องการคาร์โบไฮเดรตกับปลาดุกจะอยู่ในช่วง 35-40% ซึ่งเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีอยู่มากในอาหารปลาดุกอยู่แล้ว เช่น อาหารผสมอัดเม็ดลอยน้ำ ปลายข้าว รำ และในข้าวโพด
ไขมัน : ในอาหารที่ให้ปลาดุกไม่ควรมีไขมันปริมาณที่มากเกิน 5-6% เพราะปลาดุกที่ได้รับไขมันเป็นจำนวนมากก็จะมีโทษได้เช่นเดียวกันกับการมีประโยชน์ของมัน วัตถุดิบที่มีไขมันในปริมาณมากได้แก่น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันมะพร้าว
วิตามิน : จัดว่าเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงและมีส่วนช่วยให้ปลาดุกสามารถนำสารอาหารอื่นๆ มาใช้ในการเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น แต่วิตามินต้องได้รับตามความเหมาะสม เพราะไม่ได้มีส่วนในการเจริญเติบโตของปลาดุกโดยตรง
แร่ธาตุ : เป็นส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟันและยางเป็นสารที่ควบคุมปริมาณของน้ำในตัวปลา ซึ่งโดยปกติแล้วแร่ธาตุจะมีอยู่ในสารอาหารทั่วๆไปอยู่แล้ว
แจกฟรี 23 สูตรอาหารปลา ทำเอง ลดต้นทุน
https://www.lukpramongthai.com/article/5/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1-23-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86
------------------------------------------------------------
การเพาะผสมเทียมปลาดุกบิ๊กอุย
1.การเลี้ยงพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลาดุก
ควรเลี้ยงในบ่อดิน หรือสระ ที่มีขนาดตั้งแต่ 100 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งสามารถใช้กระชังมุ้งไนล่อนในการจำกัดพื้นที่การเลี้ยงได้ โดยปล่อยในอัตรา 20-30 ตัวต่อตารางเมตร ที่ระดับความลึกของน้ำประมาณ 1-1.5 เมตร
หากต้องการเลี้ยงในบ่อผ้าใบ หรือ กระชังบก ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน โดยจะต้องเลือกความสูงของตัวกระชัง ความสูง 50 ซมขึ้นไป
คำแนะนำ วันถ่ายเทน้ำบ่อยๆเพื่อกระตุ้นให้ปลากินอาหารได้ดี และพัฒนาระบบสืบพันธุ์ของปลาให้มีไข่และน้ำเชื้อที่ดียิ่งขึ้น จะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน
ฤดูผสมพันธุ์ปลาดุกจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม - ตุลาคม ก่อนฤดูผสมพันธุ์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ควรเริ่มคัดปลาที่มีไข่แก่สมบูรณ์บางส่วนมาเริ่มดำเนินการผสมเทียม
2.การคัดเลือกพ่อ – แม่พันธุ์ปลาดุก
การเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาดุกมาใช้ ควรมีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป สภาพสมบูรณ์ไม่บอบช้ำ
โดยเราสามารถสังเกตลักษณะปลาดุกเพศเมีย ที่ดีได้จาก
ส่วนท้องจะอูมเป่ง ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป ติ่งเพศจะมีลักษณะกลมสีแดง หรือ ชมพูอมแดง
สวนปลาดุกเพศผู้จะมีติ่งเพศยาวเรียว สีออกชมพู ขนาดฝาไม่ควรมีขนาดอ้วนหรือผอมจนเกินไป ควรมีน้ำหนักประมาณ 200 กรัมขึ้นไป และอายุประมาณ 7-8 เดือนหรือ 1 ปี โดยแล้วจะให้อาหารที่มีคุณภาพเพื่อให้มีไข่แก่จะใช้เวลา 3-4 เดือน
สำหรับปลาดุกเทศเพศผู้ นิยมใช้ขนาดน้ำหนักตัวมากกว่า 500 กรัมขึ้นไปและควรเป็นปลาที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี ลักษณะลำตัวเพียวยาว และไม่อ้วนจนเกินไป
อุปกรณ์ที่ใช้ในการผสมเทียม
1. พ่อ-แม่พันธุ์ปลา
2. ฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดต่าง ๆ
3. ครกบดยา
4. เข็มฉีดยา
5. เครื่องชั่งน้ำหนัก
6. ภาชนะสำหรับผสมไข่ปลากับน้ำเชื้อ ได้แก่ กะละมังพลาสติก และขนไก่
7. น้ำเกลือและน้ำกลั่น
8. อุปกรณ์ในการฟักไข่ปลา เช่น กระชังมุ้งไนล่อน หรือ กระชังอวน
9. อุปกรณ์ในการอนุบาลลูกปลา
ชนิดและวิธีการฉีดฮอร์โมน
ปัจจุบันจะใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ (Synthetic hormone) ได้แก่ LHRHa หรือ LRH-a มีหน่วย ความเข้มข้นเป็นไมโครกรัม (ug) ซึ่งในการฉีดกับปลาดุกต้องใช้ร่วมกับสารระงับการทำงานของระบบการหลั่งฮอร์โมน คือ โดมเพอริโดน (Domperidone) หรือมีชื่อทางการค้าว่าโมทีเลียม (Motilium) ซึ่งมีหน่วยเป็น มิลลิกรัม (mg) ขนาดที่มีขายโดยทั่วไปคือ เม็ดละ 1O มิลลิกรัม
การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกอุย โดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์สามารถฉีดเร่งให้แม่ปลาดุกอุย มีไข่สุกได้ โดยการฉีดครั้งเดียวที่ระดับความเข้มข้น 20-30 ไมโครกรัม/แม่ปลาดุกน้ำหนัก 1 กก. ร่วมกับการใช้ โดมเพอริโดนที่ระดับความเข้มข้น 5-10 มิลลิกรัม/แม่ปลาดุกน้ำหนัก 1 กก. หลังจากฉีดฮอร์โมนสังเคราะห์นี้เป็น เวลาประมาณ 16ชั่วโมง สามารถรีดไข่ผสมน้ำเชื้อได้
การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกเทศ โดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ สามารถฉีดเร่งให้แม่ปลาดุก เทศมีไข่สุกได้ โดยการฉีกครั้งเดียวที่ระดับความเข้มข้น 15- 30 ไมโครกรัม /แม่ปลาดุกน้ำหนัก 1 กก. ร่วมกับการใส่โดมเพอริโดนที่ระดับความเข้มข้น 5-10 มิลลิกรัม/แม่ปลาดุกน้ำหนัก 1 กก. หลังจากฉีดฮอร์โมนสังเคราะห์เป็นเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง สามารถรีดไข่ผสมน้ำเชื้อได้ใ
ในปลาเพศผู้การกระตุ้นให้พ่อพันธุ์มีน้ำเชื้อมากขึ้น โดยการฉีดฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ระดับความเข้มข้น 5- 10 ไมโครกรัม/พ่อปลาดุกน้ำหนัก 1 กก.ร่วมกับโดมเพอริโดน 5-10 มิลลิกรัม/พ่อปลาดุกน้ำหนัก 1 กก. ก่อนผ่าถุงน้ำเชื้อ ประมาณ 10 ชั่วโมง
ปริมาณสารละลายที่ใช้
สารละลายที่จะผสมกับฮอร์โมนเพื่อฉีดให้กับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาดุก คือน้ำกลั่นหรือน้ำสะอาด โดยเราจะเติมในปริมาณที่เหมาะสม จะใช้ปริมาณสารละลายผสมแล้ว 1 ซีซีต่อน้ำหนักปลา 1 กิโลกรัม
ตำแหน่งที่ฉีดฮอร์โมน
ตำแหน่งที่เหมาะสมในการฉีดฮอร์โมนให้กับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาดุก คือ บริเวณกล้ามเนื้อใต้ครีบหลังส่วนต้น เหนือเส้นข้างตัว เราจะใช้เข็มเบอร์ 22 ถึงเบอร์ 24 สำหรับใช้ในการฉีดฮอร์โมน
โดยการฉีดจะแทงเข็มเอียงทำมุมกับลำตัวประมาณ 30 องศาและแทงลึกประมาณ 1 นิ้ว
หลังจากฉีดฮอร์โมนเรียบร้อยแล้ว ให้เราเตรียมภาชนะโดยมีระดับน้ำเพียงท่วมหลังพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ปลาดุกเท่านั้น ข้อระวัง หากเราใส่น้ำมากเกินไปปลาจะบอบช้ำมาก
การรีดไข่ผสมน้ำเชื้อ
การรีดไข่ปลาดุกด้วยวิธีการ “ กึ่งเปียก” เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด คือการนำแม่พันธุ์ปลาดุกที่ได้รับการฉีดฮอร์โมนแล้วและมีไข่แก่เต็มที่มารีดไข่ใส่ในภาชนะผิวเรียบ เช่น กะละมังเคลือบ แนะนำพ่อพันธุ์ปลาดุกมาผ่าเอาถุงน้ำเชื้อแล้วนำมาวางบนผ้ามุ้งเขียว ( มุ้งไนล่อน 20 ตา ) แล้วทำการใช้ขยี้ให้ละเอียด พร้อมกับเทน้ำเกลือเข้มข้นประมาณ 0.7% หรือน้ำสะอาดลงบนตัวผ้ามุ้งเขียวที่ขยี้ถุงน้ำเชื้อให้น้ำไหลผ่าน
หลังจากนั้นผสมไข่กับน้ำเชื้อให้เข้ากันโดยการคนเบาๆ โดยใช้ขนไก่คนประมาณ 2-3 นาที หลังจากนั้นนำไข่ที่ได้รับการผสมไปล้างน้ำให้สะอาด 1 ครั้งแ ล้วนำไปฟักน้ำเชื้อ ปลาตัวผู้ 1 ตัวสามารถผสมกับไข่ที่ได้รับการรีดปลาเพศเมียประมาณ 10 ตัว
การฟักไข่
ลักษณะไข่ปลาดุกที่ดีควรมี ลักษณะกลม มีสีน้ำตาลเข้ม โดยไข่ปลาดุกเทศและไข่ปลาดุกอุย จะมีลักษณะเป็นไข่ติดเช่นเดียวกัน
เราจะนำไข่ปลาดุกที่ได้รับการผสมน้ำเชื้อแล้วไปฟัก โดยเราจะโรยลงบนมุ้งไนล่อน 20 ตา ซึ่งมุ้งชนิดนี้จะมีขนาดตาที่ละเอียด โดยทำการขึงตึงที่ระดับต่ำกับผิวน้ำประมาณ 5-10 เซนติเมตร และระดับน้ำภายในบ่อจะอยู่ที่ระดับ 20-30 ซม ให้เราทำการเปิดน้ำไหลผ่านตลอดเวลาและควรมีเครื่องเพิ่มอากาศใส่ไว้ในบ่อฟักไข่ปลาด้วย โดยเราจะใช้เวลาทั้งหมด 21 ถึง 26 ชั่วโมง ในอุณหภูมิของน้ำที่ 18-30 องศาเซลเซียส ในการทำให้ไข่ปลาดุกที่ได้รับการผสมพัฒนาและฟักเป็นตัว ลูกปลาดุกที่ฟักออกเป็นตัวแล้วจะหลุดรอดตาของมุ้งเขียวลงสู่พื้นก้นบ่อด้านล่าง หลังจากลูกปลาหลุดลงสู่ก้นบ่อทั้งหมดแล้ว เราจะทำการย้ายผ้ามุ้งไนลอนที่ใช้ฟักไข่ออกจากบ่อฟัก หลังจากขั้นตอนนี้จะใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง ลูกปลาจะค่อยๆพัฒนาเจริญขึ้นเป็นลำดับจนมีอายุประมาณ 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงเริ่มกินอาหาร
ข้อแนะนำ บอกเขาฝากลูกปลาดุกควรมีหลังคาปกคลุมป้องกันแสงแดดและน้ำฝนได้
แม่ปลาขนาดประมาณ 1 กิโลกรัมจะได้ลูกปลาประมาณ 5,000 - 20,000 ตัวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและขนาดของแม่ปลา
การอนุบาลลูกปลา
หลังจากลูกปลาดุกฟักตัวออกมาแล้ว จะมีถุงไข่แดงติดมากับตัวด้วย เมื่อถุงไข่แดงมียุบตัวลง
ให้เรานำไข่ไก่ต้มสุกเอาเฉพาะไข่แดงบดผ่านผ้าขาวบางละเอียดให้ลูกปลากิน 1-2 ครั้ง หลังจากนั้นจึงให้ลูกไรแดงเป็นอาหาร
1.การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อซีเมนต์
ระดับความลึกของน้ำภายในบ่อที่ใช้อนุบาล ควรลึกประมาณ 15-30 เซนติเมตร
2.การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อดิน
ปัญหาในการอนุบาลลูกปลา และ วิธีแก้ไขเบื้องต้น
การเลี้ยงปลาใหญ่
1.อัตราปล่อยปลาดุกลูกผสม ( บิ๊กอุย )
ในการปล่อยลูกปลาดุกขนาด 2-3 เซนติเมตร ควรปล่อยลงบ่อในอัตราประมาณ 40 ถึง 100 ตัวต่อตารางเมตร และ ให้ใช้น้ำยาฟอร์มาลีนใส่ลงในบ่อเลี้ยง ในอัตราความเข้มข้นประมาณ 30 ส่วนในล้าน ( 3 ลิตร / น้ำ 1000 ตัน ) เพื่อป้องกันโรคที่อาจจะติดมากับลูกปลา สำหรับการให้อาหารเสริมเราจะให้ในวันรุ่งขึ้นหลังจากปล่อยลูกปลาเรียบร้อยแล้ว
2.การให้อาหาร
อาหารที่ควรให้ในช่วงที่ลูกปลาดุกมีขนาด 2-3 เซนติเมตร ควรให้อาหารผสมคลุกน้ำปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากิน โดยเราจะให้กันวันละ 2 ครั้ง ด้วยการหว่านให้กินทั่วบ่อ
เมื่อลูกปลามีขนาดความยาวประมาณ 5-7 เซนติเมตร จะเริ่มสามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดได้
หลังจากนั้นเมื่อปลาดุกโตขึ้นจะมีความยาว 15 เซนติเมตรขึ้นไป จะเริ่มให้อาหารเม็ด และอาหารเสริมชนิดต่างๆ เช่น ปลาเป็ดผสมรำละเอียด ในอัตรา 9 : 1
หากผู้เลี้ยงต้องการลดต้นทุนโดยการให้อาหารจากเศษอาหารเหลือกิน ควรจะต้องระวังเรื่องคุณภาพของน้ำในบ่อเลี้ยงให้ดี
เมื่อเลี้ยงจนกระทั่งอายุประมาณ 3-4 เดือนปลาจะมีขนาดประมาณ 200 ถึง 400 กรัมต่อตัว
ซึ่งผลผลิตที่ได้จะประมาณ 10-14 ตันต่อไร่ อัตราการรอดตายประมาณ 40-70%
3. การถ่ายเทน้ำ
4.การป้องกันโรค
การเกิดโรคของปลาดุกที่เลี้ยงมักจะเกิดจากปัญหาคุณภาพของน้ าในบ่อเลี้ยง ไม่ดีซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุของการให้อาหารมากเกินไปจนอาหารเหลือเน่าเสีย เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิด โรคได้โดยต้องหมั่นสังเกตว่าเมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันทีเพราะปลาดุกลูกผสมมีนิสัย ชอบกินอาหารที่ให้ใหม่ โดยถึงแม้จะกินอิ่มแล้วถ้าให้อาหารใหม่อีกก็จะคายหรือสำรอกอาหารเก่าทิ้งแล้ว กินอาหารให้ใหม่อีก ซึ่งปริมาณอาหาร ที่ให้ไม่ควรเกิน 4 -5 % ของน้ าหนักตัวปลา
วิธีการป้องกันการเกิดโรคในปลาดุก
1.ควรเตรียมบ่อและตรวจเช็คคุณภาพของน้ำที่เหมาะสมก่อนปล่อยลูกปลา
2.เลือกซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ลูกปลาควรมีลักษณะที่แข็งแรงและปราศจากโรค
3.หมั่นตรวจเช็คดูอาการของลูกปลาภายในบ่ออย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบปัญหาจะได้หาวิธีแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
4.หลังจากปล่อยลูกปลาลงเลี้ยงแล้วประมาณ 3-4 วัน แนะนำให้ใช้น้ำยาฟอร์มาลีน 2-3 ลิตรต่อปริมาตรน้ำ 100 ตัน หากตรวจพบว่าลูกปลาที่เลี้ยงเกิดโรคพยาธิภายนอก ให้เราแก้ไขโดยการเพิ่มน้ำยาฟอร์มาลีนในอัตรา 4-5 ลิตรต่อปริมาณน้ำ 100 ตัน
5.หมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำจากระดับก้นบ่ออย่างสม่ำเสมอ
6.ให้อาหารในปริมาณที่ลูกปลากินหมด ไม่ให้อาหารเยอะเกินไปเพราะเป็นสาเหตุทำให้น้ำเน่าเสียได้
หากลูกปลาป่วยเป็นโรค มักจะแสดงอาการให้เห็นดังนี้
1.การติดเชื้อจากแบคทีเรีย : จะมีอาการตกเลือด และเกิดบาดแผลตามลำตัวและครีม โดยจะมีลักษณะที่สังเกตได้ดังนี้ ครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิก กกหูบวม ท้องบวม กินอาหารน้อยลงหรือไม่กินเลย และมีลักษณะลอยตัว
2.อาการจากปรสิตเข้าเกาะตัวปลา : จะส่งผลให้ปลามีเมือกมาก เกิดแผลขึ้นตามลำตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย มีจุดสีขาวตามลำตัว สีตามลำตัวซีดหรือเข้มผิดปกติ เหงือกซีด ว่ายน้ำทุรน หรือมีลักษณะควงสว่าง หรือว่ายผิดทิศทางจากปกติ
3.อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม : กะโหลกร้าว บริเวณใต้คางมีการตกเลือด มีการกินอาหารน้อยลง ตัวคด และหากปลามีอาการขาดวิตามินบี จะทำให้ปลาว่ายตัวเกร็งและชักกระตุก
4.คุณภาพน้ำในบ่อไม่ดี : จะสังเกตได้จากปลาจะว่ายน้ำขึ้นลงเร็วกว่าปกติ และมีการลอยหัว ครีบกร่อนเปื่อย หนวดหงิก เหงือกซีด ลำตัวซีด ไม่ยอมกินอาหาร ท้องบวม มีแผลตามตัว
สารเคมีและยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้ป้องกันและรักษาโรคปลา
เกลือ
วัตถุประสงค์ : เพื่อลดความเครียดของปลา และกำจัดแบคทีเรียบางชนิด เชื้อรา รวมทั้งปรสิต
ปริมาณที่ใช้ : 0.1-0.5% แช่ตลอด 0.5-1.0 % แช่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด
ปูนขาว
วัตถุประสงค์ : เพื่อฆ่าเชื้อก่อนปล่อยปลาลงบ่อ พร้อมทั้งช่วยการปรับค่า PH ของดินและน้ำ
ปริมาณที่ใช้ : 60-100 กิโลกรัม/ไร่ ละลายน้ำแล้วสาดให้ทั่วบ่อ
คลอรีน
วัตถุประสงค์ : เพื่อใช้ฆ่าเชื้อโรค จากอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้กับบ่อเลี้ยงปลา
ปริมาณที่ใช้ : 10 พีพีเอ็ม แช่ 30 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนใช้
ดิพเทอร์เร็กซ์
วัตถุประสงค์ : ใช้เพื่อกำจัดปลิงใส เห็บปลา และหนอนสมอ
ปริมาณที่ใช้ : 0.25-0.5 พีพีเอ็ม แช่ตลอด ยาที่ใช้ควรเป็นผงละเอียดสีขาว ถ้ายาเปลี่ยนเป็นของเหลวไม่ควรใช้
ฟอร์มาลิน
วัตถุประสงค์ : ใช้เพื่อกำจัดปรสิตภายนอกทั่วไป
ปริมาณที่ใช้ : 25-50 พีพีเอ็ม แช่ตลอด ระหว่างการใช้ควรระวังการขาด ออกซิเจนในน้ำ
ออกซีเตตราไซคลิน
วัตถุประสงค์ : ใช้เพื่อกำจัดแบคทีเรีย
ปริมาณที่ใช้ : ผสมกับอาหารในอัตรา 3-5 กรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ให้กิน นาน 7-10 วันติดต่อกัน แช่ในอัตรา 10-20 กรัมต่อน้ำ 1 ตัน เป็นระยะเวลา 5-7 วัน
คลอแรมเฟนิคอล
วัตถุประสงค์ : ใช้เพื่อกำจัดแบคทีเรีย
ปริมาณที่ใช้ : ผสมกับอาหารอัตรา 1 กรัมอาหาร 1 กิโลกรัมหนึ่งสัปดาห์ บางครั้งก็ใช้ไม่ได้ผลเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยา